ยุคอาณานิคมของญี่ปุ่นและสงครามโลก
เมื่อ พ.ศ. 2453 ญี่ปุ่นได้ผนวกเกาหลีเป็นดินแดนของตนตามสนธิสัญญาการรวมญี่ปุ่น-เกาหลี ซึ่งสนธิสัญญานี้เป็นที่ยอมรับของญี่ปุ่นฝ่ายเดียว
แต่ไม่เป็นที่ยอมรับในเกาหลี เพราะถือว่าไม่มีการลงนามของกษัตริย์เกาหลี
เกาหลีถูกญี่ปุ่นปกครองจนกระทั่งญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงครามเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488
ในระหว่างการปกครองของญี่ปุ่น
มีการสร้างระบบคมนาคมแบบตะวันตก
แต่ส่วนใหญ่เพื่อประโยชน์ทางการค้าของญี่ปุ่นมากกว่าประโยชน์ของชาวเกาหลี
ญี่ปุ่นล้มล้างราชวงศ์โชซ็อน ทำลายพระราชวัง ปรับปรุงระบบภาษี
ให้ส่งข้าวจากเกาหลีไปญี่ปุ่น ทำให้เกิดความอดอยากในเกาหลี
มีการใช้แรงงานทาสในการสร้างถนนและทำเหมืองแร่
หลังการสวรรคตของกษัตริย์โกจง (Gojong) เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2461 ด้วยยาพิษ ทำให้เกิดการเรียกร้องเอกราชทั่วประเทศ เมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ. 2461 ผลจากการลุกฮือขึ้นเรียกร้องเอกราชทำให้ชาวเกาหลีราว
7,000 คนถูกฆ่าโดยทหารและตำรวจญี่ปุ่น
ชาวคริสต์เกาหลีจำนวนมากถูกฆ่าหรือเผาในโบสถ์ระหว่างการเรียกร้องเอกราชมีการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลของเกาหลีที่เซี่ยงไฮ้
ประเทศจีน หลังจากการเคลื่อนไหว 1 มีนาคม
เพื่อต่อต้านการยึดครองของญี่ปุ่น
การลุกฮือขึ้นต่อต้านญี่ปุ่นยังคงมีอยู่ต่อไป
เช่น การลุกฮือของนักศึกษาทั่วประเทศเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2472 จนนำไปสู่การประกาศกฎอัยการศึกเมื่อ พ.ศ. 2474
หลังจากเกิดสงครามจีน-ญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2480 ญี่ปุ่นพยายามลบล้างความเป็นชาติของเกาหลี การสอนประวัติศาสตร์และภาษาเกาหลีในโรงเรียนถูกห้าม
การแสดงออกทางวัฒนธรรมที่เป็นเกาหลีถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ชาวเกาหลีถูกบังคับให้มีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น สิ่งของมีค่าถุกนำออกจากเกาหลีไปยังญี่ปุ่น. หนังสือพิมพ์ถูกห้ามตีพิมพ์ด้วยภาษาเกาหลี
หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จำนวนมากถูกเผาทำลาย
ชาวเกาหลีจำนวนมากอพยพออกจากเกาหลีไปสู่แมนจูเรียและรัสเซีย ชาวเกาหลีในแมนจูเรียจัดตั้งขบวนการกู้เอกราชชื่อ "ทุงนิบกุน" (Dungnipgun)
ขบวนการนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน
ทำสงครามกองโจรกับกองทัพญี่ปุ่น
กองทัพเหล่านี้ได้รวมตัวกันเป็นกองทัพปลดปล่อยเกาหลี เมื่อราว พ.ศ. 2483 เคลื่อนไหวในจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ชาวเกาหลีกว่าหมื่นคนเข้าร่วมในกองทัพปลดปล่อยประชาชนและกองทัพปฏิวัติแห่งชาติ
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวเกาหลีถูกบังคับให้ร่วมมือกับญี่ปุ่น
ชายชาวเกาหลีถูกเกณฑ์เข้าร่วมในกองทัพญี่ปุ่น ผู้หญิงจากจีนและเกาหลีราว
200,000 คน ถูกส่งตัวไปเป็นนางบำเรอของทหารญี่ปุ่น
การแบ่งแยกประเทศ
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
แนวโน้มของการแบ่งประเทศเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2488
เมื่อสหรัฐเข้าควบคุมภาคใต้ของคาบสมุทรเกาหลี และโซเวียตเข้าควบคุมภาคเหนือ โดยใช้เส้นขนาน(ละติจูด,เส้นรุ้ง)ที่ 38 องศาเป็นเส้นแบ่ง
รัฐบาลชั่วคราวถูกยกเลิกเพราะสหรัฐเห็นว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์
ในครั้งแรกการแบ่งแยกนี้เป็นการชั่วคราว
และจะให้เอกราชแก่เกาหลีเมื่อสี่ชาติมหาอำนาจคือ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต อังกฤษและจีน
จัดการปกครองในเกาหลีสำเร็จ
ในการประชุมไคโรเมื่อ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2486 กำหนดให้เกาหลีเป็นชาติอิสระ
และการประชุมล่าสุดที่ยัลตาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 ตกลงให้เกาหลีเป็นรัฐในอารักขาของชาติมหาอำนาจสี่ชาติ
ต่อมา 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 โซเวียตยกทัพจากไซบีเรียเข้าสู่เกาหลีโดยไม่มีการต่อต้าน
ญี่ปุ่นยอมแพ้เมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2488 มีการประชุมที่มอสโกเพื่อตกลงเกี่ยวกับอนาคตของเกาหลี
โดยกำหนดให้เป็นรัฐในอารักขา 5 ปี
และรวมส่วนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐและโซเวียตเข้าด้วยกัน
มีการประชุมกันอีกครั้งที่กรุงโซลแต่องค์การตั้งประเทศใหม่ยังไม่ลุล่วง
เดือนกันยายน พ.ศ. 2490 สหรัฐส่งปัญหาเกาหลีเข้าสู่สหประชาชาติเพื่อให้เกาหลีเป็นรัฐเดียวที่มีเอกภาพ
แต่ผลจากสงครามเย็นทำให้สหรัฐวางแผนคุ้มกันเกาหลีเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์
ส่งผลให้เกิดการแยกประเทศเมื่อ พ.ศ. 2491
เกิดเป็นสองประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจและการปกครองต่างกัน
สหประชาชาติยอมรับสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) เป็นตัวแทนเกาหลีในสหประชาชาติเพียงรัฐเดียวเมื่อ
12 ธันวาคม พ.ศ. 2491 สงครามเกาหลีระเบิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2493 เมื่อเกาหลีเหนือยกทัพข้ามเส้นขนานที่ 38
องศาบุกเข้าโจมตีเกาหลีใต้
เป็นการยุติความพยายามในขณะนั้นที่จะรวมประเทศทั้งสองอย่างสันติ
สงครามดำเนินไปจนมีข้อตกลงหยุดยิงเมื่อ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2496
เกาหลีเหนือในปัจจุบัน

นับตั้งแต่มีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (Democratic People’s Republic of Korea) หรือเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการในวันที่ ๙ กันยายน ค.ศ. ๑๙๔๘ ฐานะทางการเมืองของประธานาธิบดีคิมอิลซุงค่อนข้างจะมั่นคง เนื่องจากสามารถขจัดคู่แข่งคนสำคัญๆ ตั้งแต่ครั้งสงครามเกาหลีได้อย่างราบคาบ อำนาจสูงสุดเด็ดขาดในพรรคกรรมกรของเกาหลีเหนือจึงตกอยู่กับคิมอิลซุงแต่เพียงผู้เดียว ทั้งทางการเมืองและทางการทหาร
.jpg)
การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของเกาหลีเหนือภายใต้การนำของคิมอิลซุง อาจแยกพิจารณาได้เป็น ๓ ระยะ คือ
(๑) ระยะแรก คือ การปฏิรูประบอบประชาธิปไตยของประชาชน (ค.ศ. ๑๙๔๕ - ๑๙๔๘) เป็นการสร้างพื้นฐานทางการเมืองโดยการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของประชาชนทดแทนสถาบันแบบจารีตประเพณีที่ล้าหลัง ทั้งนี้ไม่นับช่วง ค.ศ. ๑๙๕๐ - ๑๙๕๓ เนื่องจากเกิดสงคราม ๔ ปี ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ซึ่งยุติลงด้วยการเจรจาหยุดยิงทำสัญญาพักรบ ในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๕๓ ระหว่างประเทศทั้งสอง
(๒) ระยะที่สอง คือ การปฏิรูปสังคมนิยม (ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๖) และการปฏิวัติสังคมนิยม (ค.ศ. ๑๙๕๗ - ๑๙๖๐) เป็นการปฏิรูปและปฏิวัติเพื่อสร้างประชาธิปไตยของประชาชนตามแนวทางลัทธิมาร์กซ - เลนิน
(๓) ระยะที่สาม คือ การสร้างระบอบสังคมนิยมสมบูรณ์แบบ (ค.ศ. ๑๙๖๑ - ปัจจุบัน) เป็นการประสบความสำเร็จในการสร้างสังคมนิยม และระบอบคอมมิวนิสต์สมบูรณ์ตามแนวทางของพรรคกรรมกรเกาหลีเหนือ

สภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของเกาหลีเหนือ
สภาพทางการเมืองของเกาหลีเหนือ
(๑) อุดมการณ์ การที่คิมอิลซุงและพรรคกรรมกรเกาหลีมีอำนาจผูกขาดในเกาหลีเหนือ ทำให้อิทธิพลของคิมอิลซุงที่เรียกว่า แนวคิดแบบจูเชอะ (Chuch’e idea) หรือหลักการพึ่งตนเองถูกผนวกไว้เป็นกฎหมายสูงสุดแห่งรัฐในรัฐธรรมนูญปัจจุบันของเกาหลีเหนือ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๗๒ แทนรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. ๑๙๔๘ ซึ่งเลียนแบบสหภาพโซเวียตทั้งหมด หลักการจูเชอะมี ๓ ประการ คือ
- สาธารณรัฐประชาชนเกาหลีเหนือจะต้องมีเอกราชทางการเมืองที่แท้จริง
- จะต้องสามารถพึ่งพาตนเองในทางเศรษฐกิจ
- จะต้องมีขีดความสามารถป้องกันประเทศด้วยตนเอง

การที่ต้องนำหลักการนี้มาใช้ เพราะความแตกแยกและขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสหภาพโซเวียต ซึ่งได้ดำเนินมาตลอดตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๖๐ ทำให้ผู้นำของเกาหลีเหนือต้องกำหนดนโยบายในการปกครองบริหารประเทศเสียใหม่ที่จะทำให้ประเทศอยู่ได้ด้วยตนเอง ทำให้คับแคบและทำให้เกาหลีเหนือต้องประสบกับความล้าหลังทางเศรษฐกิจในระยะต่อมา สำหรับลักษณะสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของเกาหลีเหนือ เป็นการผสมผสานระหว่างรัฐธรรมนูญของประเทศคอมมิวนิสต์ต่างๆ โดยปรับให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของตน โดยย้ำเน้นในเรื่องอำนาจเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพเป็นหลัก
โดยหลักทฤษฎีแล้ว เพื่อการสร้างเสริมให้ประเทศมีความมั่นคงเข้มแข็ง คิมอิลซุงจะนำเอาหลักการแนวทางมวลชนมาใช้ในลักษณะประชาธิปไตยรวมศูนย์ (Democratic Centralism) ด้วยการที่พรรคกรรมกรเกาหลีเหนือ จะเป็นองค์กรสำคัญในการกำหนดนโยบายการพิจารณาและลงมติ แล้วจึงนำมติของพรรคไปสู่ประชาชนเพื่อให้ยึดถือปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว ทั้งนี้ภายใต้การชี้ชวนและส่งเสริมให้ประชาชนปฏิบัติตามกรอบกว้างๆ ของมติพรรคที่วางไว้ ด้วยความกระตือรือร้นและกล้าวิพากษ์วิจารณ์ โดยอาศัยลักษณะผู้นำของคิมอิลซุงที่มีบารมีเป็นอำนาจ เพื่อช่วยให้นโยบายของรัฐมีผลในทางปฏิบัติ กระบวนการดังกล่าวจะช่วยให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แทนที่จะเป็นเพียงการกำหนดนโยบายโดยพรรคและชี้นำให้ประชาชนปฏิบัติตามแต่เพียงฝ่ายเดียว
ขณะเดียวกัน เมื่อคิมอิลซุงต้องการขจัดคู่แข่งทางการเมืองภายในพรรค ก็จะนำเอาทฤษฎีการใช้อำนาจเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ มาใช้สร้างเงื่อนไขความขัดแย้งให้พัฒนาเป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้น โดยอ้างว่าเพื่อขจัดศัตรูของการปฏิบัติ พวกเจ้าที่ดิน นายทุนนายหน้า และพวกลัทธิแก้ วิธีการดังกล่าวทำให้ประธานาธิบดีคิมอิลซุงสามารถปกครองและรักษาอำนาจผูกขาดความเป็นผู้นำไว้ได้ตลอดมา โดยมีแนวโน้มว่าจะผลักดันให้คิมจองอิล (Kim Jong Il) บุตรชายสืบตำแหน่งต่อไป ขณะที่มีเสียงโจมตีว่าเป็นลักษณะการผูกขาดอำนาจอยู่เฉพาะในหมู่ชาติมิตรของผู้นำเอง
(๒) สถาบันทางการเมือง ตามรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. ๑๙๗๒ ของเกาหลีเหนือมีการแบ่งแยกอำนาจเป็นองค์กรสำคัญต่างๆ ๔ ฝ่าย ทั้งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมบงการของพรรคกรรมกรเกาหลีแต่เพียงพรรคเดียว องค์กรทั้ง ๔ ได้แก่
- พรรคกรรมกรเกาหลี เป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวตามอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ทำหน้าที่ควบคุมดูแลนโยบายหลักสำคัญสูงสุดของประเทศ ซึ่งที่ประชุมพรรคจะทำการพิจารณาตัดสินนโยบาย โดยคณะกรรมการเมืองของพรรคซึ่งประกอบด้วยผู้นำพรรคระดับสูงที่ได้รับเลือกจากคณะกรรมการกลางประชาชน จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำในรายละเอียด ก่อนที่จะนำไปปฏิบัติต้องได้รับการอนุมัติจากสภาประชาชนสูงสุดก่อน แล้วสภาบริหารหรือคณะรัฐมนตรีจึงจะนำนโยบายที่พรรคมอบหมายไปปฏิบัติ
- สภาประชาชนสูงสุด (Supreme People’s Assembly) ทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติประกาศใช้หรือยกเลิกกฎหมายและปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศ โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขสูงสุดของประเทศ
- คณะกรรมการกลางประชาชน (Central People’s Committee) มีหน้าที่ควบคุมอำนาจและกำหนดนโยบายแห่งรัฐทั้งกิจการภายในและภายนอก รวมทั้งด้านการป้องกันประเทศ ด้านยุติธรรม และความมั่นคงแห่งรัฐ รวมทั้งมีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำประเทศต่างๆ และแต่งตั้ง โยกย้าย ถอดถอนรัฐมนตรีอีกด้วย
- สภาบริหาร (Administrative Council) หรือคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารงานในแต่ละกระทรวง ทบวง กรม โดยอยู่ภายใต้การควบคุมแนะนำของประธานาธิบดีและคณะกรรมการกลางประชาชนอีกทีหนึ่ง
สำหรับตำแหน่งประธานาธิบดีของเกาหลีเหนือ เป็นทั้งหัวหน้าฝ่ายบริหาร และประมุขของประเทศ นอกจากนั้น ยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะกรรมการกลางประชาชนและผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอีกด้วย ซึ่งคิมอิลซุงดำรงตำแหน่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน

สภาพทางเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือ

การดำเนินการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือ กระทำประสานสอดคล้องกับทางการเมือง โดยอาจแบ่งออกเป็น ๓ ระยะเช่นกัน คือ
- ระยะแรก คือ ตั้งแต่ระยะปลดแอกประเทศจนถึงระยะฟื้นฟูประเทศหลังสงครามเกาหลีสงบ (ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๖) โดยเว้นช่วงชะงักงันอันเนื่องมาจากสงคราม ๔ ปี (ค.ศ. ๑๙๕๐ - ๑๙๕๓)
- ระยะที่สอง คือ ช่วงการปฏิวัติเศรษฐกิจให้เป็นแบบสังคมนิยมอุตสาหกรรมภายใต้โครงการเศรษฐกิจ ๕ ปีแรก (ค.ศ. ๑๙๕๗ - ๑๙๖๑)
- ระยะที่สาม คือ ช่วงการเน้นการปฏิวัติทางเทคโนโลยี (ค.ศ. ๑๙๖๑ - ๑๙๖๗) ต่อมาได้ยึดเวลาของโครงการฉบับที่ ๒ ออกไปอีก ๓ ปี (ค.ศ. ๑๙๖๘ - ๑๙๖๙) และได้ประกาศใช้โครงการเศรษฐกิจ ๖ ปี (ค.ศ.๑๙๗๑ - ๑๙๗๖) และโครงการเศรษฐกิจ ๗ ปี (ค.ศ. ๑๙๗๘ - ๑๙๘๔) ในปัจจุบัน
โครงการปฏิรูปประชาธิปไตยประชาชน ซึ่งประกาศใช้ในช่วง ค.ศ. ๑๙๔๕ - ๑๙๔๘ ได้โอนกิจการทุกชนิด ทั้งอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และเกษตรกรรมของชาวญี่ปุ่นและนายทุนนายหน้าชาวเกาหลีเข้าเป็นของรัฐ ใน ค.ศ. ๑๙๔๘ ธุรกิจทั้งหมดทั้งทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมในเกาหลีเหนือตกเป็นของรัฐถึงร้อยละ ๙๐.๗ ทางภาคเกษตรกรรม มีการประกาศใช้โครงการปฏิรูปที่ดิน ใน ค.ศ. ๑๙๔๖ รัฐบาลสามารถยึดและบังคับซื้อที่ดินของเอกชนได้ถึงร้อยละ ๙๘.๑ ของที่ดินทำกินทั้งหมดในเกาหลีเหนือต่อมา รัฐบาลได้จัดสรรที่ดินส่วนใหญ่ให้ชาวนาที่ไม่มีที่ดินทำกินและเจ้าของที่ดินขนาดเล็ก ที่ดินส่วนที่รัฐบาลได้จัดสรรให้คณะกรรมการพรรคระดับมณฑลและอำเภอ นำไปจัดสรรผลประโยชน์บำรุงกิจการของพรรคในระดับต่างๆ รวมทั้งการพัฒนาแหล่งที่ดินเสื่อมโทรมให้เหมาะสมเป็นที่ทำกินของประชาชนในรูปนิคมสร้างตนเอง หรือสหกรณ์การเกษตร นอกจากนั้นรัฐบาลยังได้จัดหาอุปกรณ์การเพาะปลูกให้ โดยหักรายได้ของสมาชิกในแต่ละปีจากรายรับที่ได้จากผลผลิตทางการเกษตร

คิมอิลซุงได้ตัดสินใจพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือตามแบบสหภาพโซเวียตที่สาธารณรัฐประชาชนจีนดำเนินรอยตามอยู่ ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาความเสียหายหลังสงคราม โดยเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมหนักเป็นพื้นฐาน ทั้งอุตสาหกรรมเหล็ก เครื่องจักรกล อู่ต่อเรือ เหมืองแร่ ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ฯลฯ ควบคู่กับการปฏิวัติเกษตรกรรมเป็นเป้าหมายรองสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นมิตรประเทศที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือเกาหลีเหนือตลอดมา จนทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจฟื้นตัวและรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๓ เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยเหลือสร้างปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น ทางหลวงแผ่นดิน เขื่อนขนาดใหญ่ สนามบินและท่าเรือน้ำลึก เป็นต้น ประมาณกันว่าตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๔๙ - ๑๙๖๔ เกาหลีเหนือได้รับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตประมาณ ๕๕๐ ล้านเหรียญดอลลาร์ หรือประมาณร้อยละ ๔๐ ของความช่วยเหลือจากต่างประเทศทั้งหมด และจากสาธารณรัฐประชาชนจีนประมาณ ๔๑๗ ล้านเหรียญดอลลาร์ หรือประมาณร้อยละ ๓๘ ของความช่วยเหลือจากต่างประเทศทั้งหมด
สำหรับการปฏิวัติเกษตรกรรม ซึ่งเป็นเศรษฐกิจสังคมชนบท รัฐบาลเกาหลีเหนือใช้ระบบสหกรณ์การเกษตรรวม ๓ แบบ คือ
- สหกรณ์แบบพื้นฐาน รัฐบาลช่วยเหลือในการจัดตั้งให้ โดยให้สมาชิกสหกรณ์แต่ละแห่งช่วยกันผลิตอาหารและเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน โดยแยกทรัพย์สินกันในแต่ละครอบครัว สมาชิกสหกรณ์จึงได้รับผลประโยชน์ไม่เท่ากัน โดยมีสหกรณ์เป็นองค์การกลางในฐานะตัวแทนซื้อขายผลผลิตและบริการสินค้าจำเป็นแก่สมาชิก รวมทั้งเป็นตัวแทนรับความช่วยเหลือและเผยแพร่นโยบายของรัฐบาลแก่สมาชิกด้วย
- สหกรณ์แบบกึ่งคอมมูน สมาชิกสหกรณ์ทั้งหมดจะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตร่วมกัน ทั้งนี้โดยชาวนาเจ้าของที่ดินแต่ละครอบครัวจะนำอุปกรณ์การเกษตรและต้นทุนการผลิตทั้งหมดมาลงทุนร่วมกัน สำหรับการแบ่งสันปันส่วนผลิตผลที่ได้จะเฉลี่ยตามปริมาณทรัพย์สินที่สมาชิกแต่ละคนถือเป็นทุนเข้าร่วมกับสหกรณ์ สมาชิกแต่ละคนจึงได้รับผลประโยชน์ไม่เท่ากันเช่นกัน
- สหกรณ์แบบสังคมนิยมสมบูรณ์ ถือเอาปริมาณของแรงงานที่แต่ละคนใช้ในการสร้างผลผลิตเป็นเครื่องแบ่งรายได้จากการผลิต สมาชิกของสหกรณ์จะได้รับผลประโยชน์ไม่เท่ากันแต่ก็จะไม่แตกต่างกันมากนัก
ผลจากการรณรงค์ผลักดันของรัฐบาลและพรรคกรรมกรเกาหลีให้ชาวนาตระหนักถึงคุณค่าของส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว ตามโครงการที่ให้คนเกาหลีใช้แรงงานร่วมกันเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกในการสร้างสังคมที่เป็นธรรมขึ้น ทำให้ชาวนาส่วนใหญ่ซึ่งนิยมเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์แบบพื้นฐานและแบบกึ่งคอมมูนในระยะแรก หันมาเข้าเป็นสมาชิกแบบสังคมนิยมสมบูรณ์มากที่สุดถึงร้อยละ ๙๗.๕ ของจำนวนสมาชิกสหกรณ์ทั้งหมดใน ค.ศ. ๑๙๖๕ ความสำเร็จของระบบสหกรณ์การเกษตรของเกาหลีเหนือ ทำให้สามารถขจัดปัญหาขาดแคลนอาหารบริโภคที่มีมาตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๓ ได้อย่างเด็ดขาด
ใน ค.ศ. ๑๙๕๗ อันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงประเทศจากสังคมกึ่งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ไปสู่สังคมนิยมอุตสาหกรรม เกาหลีเหนือได้ประกาศใช้ โครงการม้าบิน หรือ จอลลิมา (Chollima) อันเป็นโครงการที่มุ่งรณรงค์มวลชนและระดมทรัพยากรในประเทศทั้งหมดเพื่อขยายการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมให้เป็นพื้นฐานรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก

โครงการม้าบินของเกาหลีเหนือ ใช้วิธีการเน้นความสำคัญของนโยบายมวลชนด้วยการสร้างคำขวัญ และการปลุกระดมกระตุ้นประชาชนให้ร่วมมือกันเร่งขยายปริมาณการผลิตให้มีปริมาณและประสิทธิภาพสูง ยุทธวิธีที่ใช้ คือ พยายามกระจายอำนาจการตัดสินใจและวางแผนนโยบายเฉพาะด้าน จากอำนาจบริหารของรัฐบาลกลางให้แก่หน่วยการปกครองท้องถิ่น ซึ่งเป็นหน่วยผลิตและหน่วยปกครองพื้นฐานทั่วประเทศ สร้างระบบผู้นำร่วมในโรงงานอุตสาหกรรมและสหกรณ์การเกษตรทุกแห่งโดยให้สมาชิกพรรคกรรมกรเกาหลีแต่ละหน่วยผลิตตั้งคณะกรรมการพรรคประจำ เพื่อทำหน้าที่จัดการและบริหารงาน ควบคู่ไปกับการย้ำแนวทางมวลชนอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง เพื่อเร่งเร้าหน่วยผลิตทั่วประเทศให้เพิ่มพูนประสิทธิภาพการจัดการและการบริหารงานให้ดียิ่งขึ้น
ผลของการรณรงค์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือตามโครงการม้าบินปรากฏว่าเกิดผลดีเกินคาด ผลผลิตทางด้านอุตสาหกรรมทุกประเภทในช่วง ค.ศ. ๑๙๕๗ - ๑๙๗๐ เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๑๙.๑ ต่อปี
สภาพทางสังคมของเกาหลีเหนือ
ทางด้านสังคมของเกาหลีเหนือ ได้มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงแก้ไขเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสังคมใหม่ภายใต้ระบอบสังคมนิยม โครงการที่นำมาใช้ คือ การปฏิวัติวัฒนธรรม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปลดแอกชนชั้นกรรมาชีพให้หลุดพ้นจากพันธนาการของสังคมเก่า ด้วยการยกเลิกขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติแบบเดิม และสร้างความเชื่อหรืออุดมการณ์ชีวิตแบบสังคมนิยมเข้าแทนที่เพื่อบรรลุตามนโยบายดังกล่าว มี ๒ ขั้นตอนสำคัญ คือ
ก. ขจัดปัญหาการไม่รู้หนังสือของประชาชน ควบคู่ไปกับการปฏิวัติวัฒนธรรมเพื่อสร้างวิถีชีวิตแบบใหม่ของมวลชนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการปฏิวัติทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ข. เร่งรัดพัฒนาการศึกษาระดับสูง โดยเน้นเรื่องความเชี่ยวชาญทางด้านอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมสมัยใหม่ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ด้านการขจัดปัญหาการไม่รู้หนังสือของประชาชนใน ค.ศ. ๑๙๕๐ รัฐบาลได้ประกาศโครงการศึกษาภาคบังคับทั่วประเทศ โดยตั้งโรงเรียนกรรมกรชาวนา และโรงเรียนระดับกลางตามโรงงานอุตสาหกรรมและสหกรณ์การเกษตรทุกแห่ง สามารถขจัดปัญหาการไม่รู้หนังสือได้ภายใน ๙ ปี ขณะเดียวกันสามารถเผยแพร่อุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ได้ผลเป็นอย่างดี นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้ก่อตั้งสถาบันขั้นอุดมศึกษา ซึ่งก่อนหน้าที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์จะยึดครองยังไม่เคยมีมาก่อน ปัจจุบันเกาหลีเหนือมีสถาบันอุดมศึกษากว่า ๑๐๐ แห่ง โรงเรียนเทคนิคชั้นสูงเกือบ ๔๐๐ แห่ง
ทางด้านสาธารณสุขและสวัสดิการสังคมต่างๆ รัฐบาลได้เร่งระดมเพื่อให้สงผลถึงประชาชนกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเขตชนบท เป็นผลให้ประชาชนฐานะยากจนในชนบทมีฐานะดีขึ้น
อย่างไรก็ดี โดยทั่วไปแล้วนับได้ว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือ ได้เข้าไปควบคุมบงการชีวิตทางสังคมของประชาชนมากทีเดียว ประชาชนเกาหลีเหนือจะต้องใช้เวลาประมาณวันละถึง ๑ ใน ๓ ในการศึกษา และในองค์กรมวลชนของรัฐ การดำรงชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป ก็ค่อนข้างจะอยู่ในกรอบที่รัฐบาลวางไว้ตามอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ สิทธิเสรีภาพของประชาชนจึงต้องอยู่ในขอบเขตที่รัฐบาลกำหนดให้ เช่น การกำหนดและจำกัดเขตเดินทาง สื่อมวลชนเป็นของรัฐ ความไม่มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นต้น
.jpg)
ปัญหาและอนาคตด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมเกาหลีเหนือ
.jpg)
ปัญหาและอนาคตด้านการเมืองของเกาหลีเหนือ
เกาหลีเหนือในอดีตและปัจจุบันภายใต้การนำของคิมอิลซุง นับได้ว่าดำเนินไปค่อนข้างราบรื่น ทั้งนี้ด้วยความสามารถในการใช้ยุทธวิธีทางการเมืองการทหาร และความเป็นผู้นำที่มีบารมีของคิมอิลซุง ในฐานะที่เป็นผู้สร้างชาติจนกระทั่งเกาหลีเหนือเป็นปึกแผ่นมั่นคงทำให้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ลุล่วงไปได้ อย่างไรก็ดี ยังเป็นที่หวั่นเกรงกันโดยทั่วไปว่า หากคิมอิลซุงถึงแก่อสัญกรรมอาจเกิดปัญหาวิกฤตการณ์ผู้นำขึ้นได้ แม้ว่าจะเชื่อกันว่าคิมอิลซุงคงจะสามารถใช้ยุทธิวิธีแนวทางมวลชนและแนวทางชนชั้นขจัดศัตรูคู่แข่งขันทางการเมืองของตนได้เช่นที่เป็นมาในอดีต และแม้จะมีแนวโน้มว่าคิมอิลซุงได้พยายามสร้างคิมจองอิล บุตรชายคนโตของตนให้เป็นทายาททางการเมืองก็ตาม แต่เนื่องจากปัจจุบันเกาหลีเหนือกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศโดยเฉพาะจากวิกฤตการณ์น้ำมัน จึงอาจเป็นปัจจัยก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นในอนาคตได้ อันเป็นผลเนื่องมาจากการขัดแย้งในอำนาจ และแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
หากคิมจองอิล ซึ่งเป็นบุตรชายที่คิมอิลซุงคาดหวังจะให้เป็นทายาททางการเมืองของตน เป็นที่ยอมรับในความสามารถ ปัญหาก็อาจหมดไปหรือเบาบางลง แต่หากไม่เป็นที่ยอมรับและคู่แข่งทางการเมืองของคิมอิลซุงสามารถรวมตัวกันได้ย่อมเกิดปัญหาขึ้น ทั้งนี้โดยการโจมตีว่ามีลักษณะผูกขาดอำนาจทางการเมืองอยู่เฉพาะในหมู่ญาติมิตรของตนเท่านั้น อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญน่าจะไม่ใช่เพียงเรื่องอำนาจทางการเมืองการทหารเท่านั้น ประเด็นทางเศรษฐกิจก็น่าจะเป็นปัจจัยชี้ขาดอีกประการหนึ่งด้วย กล่าวคือ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือในปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคตที่กำลังประสบปัญหาอยู่ไม่น้อยจะกลายเป็นปัจจัยตัดสินที่สำคัญซึ่งชี้ให้เห็นความถูกต้องหรือผิดพลาดของนโยบายการบริหารประเทศภายใต้การนำของคิมอิลซุงว่า สมควรจะต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีให้สอดคล้องตามสถานการณ์หรือไม่เพียงใด ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงการมีผลต่อการเปลี่ยนตัวผู้นำคนต่อไปของเกาหลีเหนือด้วย
เปรียบเทียบผู้หญิงเกาหลีเหนือกับผู้หญิงเกาหลีใต้
ผู้หญิงเกาหลีเหนือ
หญิงเกาหลีใต้
http://th.wikipedia.org/wiki ลัทธิจักรวรรดินิยมในเอเชีย