เมื่อพูดถึงเรื่องของการเดินทางมันก็คือการที่เราได้ออกไปสู่โลกกว้างการได้เห็นมุมมองใหม่ๆที่ยังไม่เคยเห็นหรืออาจจะเคยได้สัมผัสมาแล้วในมุมมองหนึ่งแต่อีกมุมมองหนึ่งมันอาจจะแตกต่างกันก็ได้ทั้งนี้ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคลว่าจะให้ความหมายของสิ่งที่เห็นนั้นเป็นแบบไหน
บางคนแค่มองผ่านๆตาพอให้รู้แค่ว่าสิ่งนั้นคืออะไรแล้วก็ผ่านไป แต่บางคนอาจจะมองมันลึกก็นั้น บางคนมองแล้วทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในใจมากมาย ซึ่งการที่เราได้ออกเดินทางปรับเปลี่ยนบรรยากาศชีวิตในแบบใหม่ๆจากการที่จะต้องอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมบางทีมันก็ทำให้เรารู้สึกเบื่อๆเซ็งๆในชีวิตจนไม่คิดอยากจะทำอะไรแต่ถ้าเมื่อเราได้จับกระเป๋าขึ้นบนบ่าแล้วออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่งเบื่อที่จะมองหาสิ่งต่างๆรอบตัวทั้งที่เราเคยเห็นแต่ก็มีสิ่งที่เรายังไม่เคยได้เห็นได้สัมผัสด้วยตัวเองอีกมากมายที่กำลังรอคอยให้เราได้ไปเรียนรู้และไปสัมผัสมันเพราะการที่เราได้ไปสัมผัสในสถานที่จริงมันจะทำให้เราได้รับบางสิ่งที่มีคุณค่ากับชีวิตของเรา นั้นก็คือประสบการณ์
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนก็สามารถทำมันให้เกิดขึ้นได้แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะใฝ่ฝันหามัน รึเปล่าการที่เราแค่ได้ยินจากการบอกเล่าหรืออ่านดูจากหนังสือมันก็ไม่เท่ากับการที่เราไปสัมผัสด้วยตนเองในสถานที่จริง
วัดพนัญเชิง เป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนาน ก่อสร้างก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา และไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้างตามหนังสือพงศาวดารเหนือกล่าวว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้างและพระราชทานนามว่า วัดเจ้าพนัญเชิงวรวิหาร ” มีพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระประธานในพระวิหารนั้นชื่อ "พระเจ้าพนัญเชิง" พอไปถึงสิ่งแรกที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนคือป้ายชื่อของวัด ซึ่งมันช่างเป็นสิ่งที่ใหญ่โตอลังการมากพอลงจากรถเราก็มุ่งหน้าเดินเข้าไปสักการะหลวงพ่อโตกันทันทีจากนั้นก็ถ่ายรูปรอบๆบริเวณวัดอ่านประวัติของวัด ชมพุทธศิลป์ในสมัยอยุธยา ชมสองฝั่งของเกาะอยุธยาบริเวณริมแม่น้ำยังมี ตึกเจ้าแม่สร้อยดอกหมากก่อสร้างเป็นตึกแบบจีนเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่สร้อยดอกหมากในเครื่องแต่งกายแบบจีน ชาวจีนเรียกว่า "จูแซเนี๊ย" เป็นที่เคารพนับถือของชาวจีนทั่วไป ใกล้กันมี วิหารเซียน เป็นที่ประดิษฐานรูปปั้น ท้าวจตุรโลกบาล เทพผู้คุ้มครองทั้ง 12 นักษัตร และเทพเจ้าต่างๆอีกด้วย
วิหารพระมงคลบพิตรตั้งอยู่ใกล้กับ วัดพระศรีสรรเพชญ์ และพระราชวังโบราณ
ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่นามว่า พระมงคลบพิตร หรือ พระพุทธสยมภูวญาณโมฬี พระพระพุทธรูปคู่เมืองของกรุงอยุธยามาแต่โบราณประวัติการสร้างพระมงคลบพิตรไม่แน่ชัดมีปรากฏในพงศาวดารว่า แต่เดิมองค์พระประดิษฐานอยู่การแจ้ง ต่อมาในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม เมื่อปี
พ.ศ. 2153
ได้มีกาเคลื่อนย้ายองค์พระมาประดิษฐานทางด้านตะวันตก
โดยสร้างพระมณฑปครอบองค์พระไว้ ภายหลังในรัชสมัยพระเจ้าเสือ เมื่อปี พ.ศ. 2249
พระมณฑปได้ถูกฟ้าผ่าจนเครื่องบนหลังคาเกิดไฟไหม้และทรุดตัวลงถูกองค์พระเสียหาย
แต่ไม่ทันได้บูรณะปฏิสังขรณ์ พระองค์ทรงสวรรคตลงเสียก่อน
วัดมหาธาตุเป็นวัดที่เก่าแก่และมีประวัติที่ไม่ค่อยจะชัดเจน
บางฉบับบอกว่า ในปี พ.ศ. 1917 บางฉบับก็บอก พ.ศ. 1927 ได้ใช้เวลาก่อสร้างไปเป็นจำนวนมาก
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระปรางค์เคยพังลงมาเกือบครึ่งองค์ถึงชั้นครุฑ ปรางค์ของวัดนี้เดิมทีเดียวสร้างด้วยศิลาแลง
แต่จะด้วยเหตุผลประการใดไม่ทราบ จึงยังมิได้ซ่อมแซมให้คืนดีดังเดิม ในรัชกาลนั้น
ต่อมาสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงบูรณะใหม่ รวมเป็นความสูง 25 วา
แต่ก็ได้พังทลายลงมาอีกรอบในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 และต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำกำลังทหารไปช่วยกันสร้างยอดพระปรางค์ด้วยไม้สักชั้นเยี่ยมและได้สถาปนาให้เป็นพระปรางค์ประจำชาติ
และในที่สุด พระปรางค์วัดมหาธาตุก็ยังคงอยู่ที่นั้นตลอดไป
เจดีย์ภูเขาทองเป็นเจดีย์ที่สูงใหญ่ ในวัดภูเขาทองซึ่งตั้งอยู่บริเวณกลางทุ่งนา ในเขตเกาะเมือง ของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาอำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สามารถเห็นได้แต่ไกลจากการสันนิฐานว่า คาดว่า เจดีย์ภูเขาทอง
ได้สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระราเมศวร เมื่อปี พ.ศ. 1930 และเมื่อปี พ.ศ. 2112 พระเจ้าบุเรงนองแห่งเมืองหงสาวดี ได้ยกทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ
จึงได้สร้างพระเจดีย์ใหญ่แบบมอญขึ้นไว้เป็นอนุสรณ์ที่วัดนี้
เจดีย์ที่สร้างนี้เรียกว่า "ภูเขาทอง"
และวัดที่อยู่ต้ดกับเจดีย์นี้ก็เรียกว่า "วัดภูเขาทอง" ต่อมา ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ได้ทำการปฏิสังขรณ์องค์เจดีย์ใหม่ เปลี่ยนรูปจากเจดีย์มอญเป็นรูปเจดีย์ย่อไม้สิบสองที่กำลังนิยมอยู่ในขณะนั้น
ส่วนฐานนั้นเป็นศิลปมอญอยู่
เขียนโดย
นายอัฐพล เหล่าสักสาม ประธานชมรมประวัติศาสตร์สัญจร มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม