วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เกาหลีเหนือในยุคจักรวรรดินิยม


ยุคอาณานิคมของญี่ปุ่นและสงครามโลก

      เมื่อ พ.ศ. 2453 ญี่ปุ่นได้ผนวกเกาหลีเป็นดินแดนของตนตามสนธิสัญญาการรวมญี่ปุ่น-เกาหลี ซึ่งสนธิสัญญานี้เป็นที่ยอมรับของญี่ปุ่นฝ่ายเดียว แต่ไม่เป็นที่ยอมรับในเกาหลี เพราะถือว่าไม่มีการลงนามของกษัตริย์เกาหลี เกาหลีถูกญี่ปุ่นปกครองจนกระทั่งญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงครามเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488
        ในระหว่างการปกครองของญี่ปุ่น มีการสร้างระบบคมนาคมแบบตะวันตก แต่ส่วนใหญ่เพื่อประโยชน์ทางการค้าของญี่ปุ่นมากกว่าประโยชน์ของชาวเกาหลี ญี่ปุ่นล้มล้างราชวงศ์โชซ็อน ทำลายพระราชวัง ปรับปรุงระบบภาษี ให้ส่งข้าวจากเกาหลีไปญี่ปุ่น ทำให้เกิดความอดอยากในเกาหลี มีการใช้แรงงานทาสในการสร้างถนนและทำเหมืองแร่
        หลังการสวรรคตของกษัตริย์โกจง (Gojong) เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2461 ด้วยยาพิษ ทำให้เกิดการเรียกร้องเอกราชทั่วประเทศ เมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ. 2461 ผลจากการลุกฮือขึ้นเรียกร้องเอกราชทำให้ชาวเกาหลีราว 7,000 คนถูกฆ่าโดยทหารและตำรวจญี่ปุ่น ชาวคริสต์เกาหลีจำนวนมากถูกฆ่าหรือเผาในโบสถ์ระหว่างการเรียกร้องเอกราชมีการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลของเกาหลีที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน หลังจากการเคลื่อนไหว 1 มีนาคม เพื่อต่อต้านการยึดครองของญี่ปุ่น
        การลุกฮือขึ้นต่อต้านญี่ปุ่นยังคงมีอยู่ต่อไป เช่น การลุกฮือของนักศึกษาทั่วประเทศเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2472 จนนำไปสู่การประกาศกฎอัยการศึกเมื่อ พ.ศ. 2474 หลังจากเกิดสงครามจีน-ญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2480 ญี่ปุ่นพยายามลบล้างความเป็นชาติของเกาหลี การสอนประวัติศาสตร์และภาษาเกาหลีในโรงเรียนถูกห้าม การแสดงออกทางวัฒนธรรมที่เป็นเกาหลีถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ชาวเกาหลีถูกบังคับให้มีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น สิ่งของมีค่าถุกนำออกจากเกาหลีไปยังญี่ปุ่น. หนังสือพิมพ์ถูกห้ามตีพิมพ์ด้วยภาษาเกาหลี หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จำนวนมากถูกเผาทำลาย
ชาวเกาหลีจำนวนมากอพยพออกจากเกาหลีไปสู่แมนจูเรียและรัสเซีย ชาวเกาหลีในแมนจูเรียจัดตั้งขบวนการกู้เอกราชชื่อ "ทุงนิบกุน" (Dungnipgun) ขบวนการนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน ทำสงครามกองโจรกับกองทัพญี่ปุ่น กองทัพเหล่านี้ได้รวมตัวกันเป็นกองทัพปลดปล่อยเกาหลี เมื่อราว พ.ศ. 2483 เคลื่อนไหวในจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวเกาหลีกว่าหมื่นคนเข้าร่วมในกองทัพปลดปล่อยประชาชนและกองทัพปฏิวัติแห่งชาติ
        ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวเกาหลีถูกบังคับให้ร่วมมือกับญี่ปุ่น ชายชาวเกาหลีถูกเกณฑ์เข้าร่วมในกองทัพญี่ปุ่น ผู้หญิงจากจีนและเกาหลีราว 200,000 คน ถูกส่งตัวไปเป็นนางบำเรอของทหารญี่ปุ่น

การแบ่งแยกประเทศ

        หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง แนวโน้มของการแบ่งประเทศเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2488 เมื่อสหรัฐเข้าควบคุมภาคใต้ของคาบสมุทรเกาหลี และโซเวียตเข้าควบคุมภาคเหนือ โดยใช้เส้นขนาน(ละติจูด,เส้นรุ้ง)ที่ 38 องศาเป็นเส้นแบ่ง รัฐบาลชั่วคราวถูกยกเลิกเพราะสหรัฐเห็นว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ในครั้งแรกการแบ่งแยกนี้เป็นการชั่วคราว และจะให้เอกราชแก่เกาหลีเมื่อสี่ชาติมหาอำนาจคือ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต อังกฤษและจีน จัดการปกครองในเกาหลีสำเร็จ
        ในการประชุมไคโรเมื่อ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2486 กำหนดให้เกาหลีเป็นชาติอิสระ และการประชุมล่าสุดที่ยัลตาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 ตกลงให้เกาหลีเป็นรัฐในอารักขาของชาติมหาอำนาจสี่ชาติ ต่อมา 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 โซเวียตยกทัพจากไซบีเรียเข้าสู่เกาหลีโดยไม่มีการต่อต้าน ญี่ปุ่นยอมแพ้เมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2488 มีการประชุมที่มอสโกเพื่อตกลงเกี่ยวกับอนาคตของเกาหลี โดยกำหนดให้เป็นรัฐในอารักขา 5 ปี และรวมส่วนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐและโซเวียตเข้าด้วยกัน มีการประชุมกันอีกครั้งที่กรุงโซลแต่องค์การตั้งประเทศใหม่ยังไม่ลุล่วง เดือนกันยายน พ.ศ. 2490 สหรัฐส่งปัญหาเกาหลีเข้าสู่สหประชาชาติเพื่อให้เกาหลีเป็นรัฐเดียวที่มีเอกภาพ
    แต่ผลจากสงครามเย็นทำให้สหรัฐวางแผนคุ้มกันเกาหลีเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ ส่งผลให้เกิดการแยกประเทศเมื่อ พ.ศ. 2491 เกิดเป็นสองประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจและการปกครองต่างกัน สหประชาชาติยอมรับสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) เป็นตัวแทนเกาหลีในสหประชาชาติเพียงรัฐเดียวเมื่อ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2491 สงครามเกาหลีระเบิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2493 เมื่อเกาหลีเหนือยกทัพข้ามเส้นขนานที่ 38 องศาบุกเข้าโจมตีเกาหลีใต้ เป็นการยุติความพยายามในขณะนั้นที่จะรวมประเทศทั้งสองอย่างสันติ สงครามดำเนินไปจนมีข้อตกลงหยุดยิงเมื่อ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2496


 















เกาหลีเหนือในปัจจุบัน


 
        นับตั้งแต่มีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี  (Democratic People’s Republic of Korea)  หรือเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการในวันที่  ๙  กันยายน ค.ศ. ๑๙๔๘ ฐานะทางการเมืองของประธานาธิบดีคิมอิลซุงค่อนข้างจะมั่นคง  เนื่องจากสามารถขจัดคู่แข่งคนสำคัญๆ  ตั้งแต่ครั้งสงครามเกาหลีได้อย่างราบคาบ  อำนาจสูงสุดเด็ดขาดในพรรคกรรมกรของเกาหลีเหนือจึงตกอยู่กับคิมอิลซุงแต่เพียงผู้เดียว  ทั้งทางการเมืองและทางการทหาร

                การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมือง  เศรษฐกิจ  และสังคมของเกาหลีเหนือภายใต้การนำของคิมอิลซุง  อาจแยกพิจารณาได้เป็น  ๓  ระยะ  คือ
                (๑)  ระยะแรก  คือ  การปฏิรูประบอบประชาธิปไตยของประชาชน  (ค.ศ. ๑๙๔๕ - ๑๙๔๘)  เป็นการสร้างพื้นฐานทางการเมืองโดยการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของประชาชนทดแทนสถาบันแบบจารีตประเพณีที่ล้าหลัง  ทั้งนี้ไม่นับช่วง  ค.ศ. ๑๙๕๐ - ๑๙๕๓  เนื่องจากเกิดสงคราม  ๔  ปี  ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ซึ่งยุติลงด้วยการเจรจาหยุดยิงทำสัญญาพักรบ  ในวันที่  ๒๗  กรกฎาคม        ค.ศ. ๑๙๕๓  ระหว่างประเทศทั้งสอง
                (๒)  ระยะที่สอง  คือ  การปฏิรูปสังคมนิยม  (ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๖)  และการปฏิวัติสังคมนิยม  (ค.ศ. ๑๙๕๗ - ๑๙๖๐)  เป็นการปฏิรูปและปฏิวัติเพื่อสร้างประชาธิปไตยของประชาชนตามแนวทางลัทธิมาร์กซ - เลนิน
                (๓)  ระยะที่สาม  คือ  การสร้างระบอบสังคมนิยมสมบูรณ์แบบ  (ค.ศ. ๑๙๖๑ - ปัจจุบัน)  เป็นการประสบความสำเร็จในการสร้างสังคมนิยม  และระบอบคอมมิวนิสต์สมบูรณ์ตามแนวทางของพรรคกรรมกรเกาหลีเหนือ
 สภาพทางการเมือง  เศรษฐกิจ  และสังคมของเกาหลีเหนือ
                สภาพทางการเมืองของเกาหลีเหนือ
                (๑)  อุดมการณ์  การที่คิมอิลซุงและพรรคกรรมกรเกาหลีมีอำนาจผูกขาดในเกาหลีเหนือ  ทำให้อิทธิพลของคิมอิลซุงที่เรียกว่า  แนวคิดแบบจูเชอะ  (Chuch’e idea)  หรือหลักการพึ่งตนเองถูกผนวกไว้เป็นกฎหมายสูงสุดแห่งรัฐในรัฐธรรมนูญปัจจุบันของเกาหลีเหนือ  ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้เมื่อวันที่  ๒๗  ธันวาคม  ค.ศ. ๑๙๗๒  แทนรัฐธรรมนูญฉบับ  ค.ศ. ๑๙๔๘  ซึ่งเลียนแบบสหภาพโซเวียตทั้งหมด  หลักการจูเชอะมี  ๓  ประการ  คือ
                        -  สาธารณรัฐประชาชนเกาหลีเหนือจะต้องมีเอกราชทางการเมืองที่แท้จริง
                        -  จะต้องสามารถพึ่งพาตนเองในทางเศรษฐกิจ
                        -  จะต้องมีขีดความสามารถป้องกันประเทศด้วยตนเอง 
              การที่ต้องนำหลักการนี้มาใช้  เพราะความแตกแยกและขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสหภาพโซเวียต  ซึ่งได้ดำเนินมาตลอดตั้งแต่  ค.ศ. ๑๙๖๐  ทำให้ผู้นำของเกาหลีเหนือต้องกำหนดนโยบายในการปกครองบริหารประเทศเสียใหม่ที่จะทำให้ประเทศอยู่ได้ด้วยตนเอง  ทำให้คับแคบและทำให้เกาหลีเหนือต้องประสบกับความล้าหลังทางเศรษฐกิจในระยะต่อมา  สำหรับลักษณะสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของเกาหลีเหนือ  เป็นการผสมผสานระหว่างรัฐธรรมนูญของประเทศคอมมิวนิสต์ต่างๆ  โดยปรับให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของตน  โดยย้ำเน้นในเรื่องอำนาจเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพเป็นหลัก
                โดยหลักทฤษฎีแล้ว  เพื่อการสร้างเสริมให้ประเทศมีความมั่นคงเข้มแข็ง  คิมอิลซุงจะนำเอาหลักการแนวทางมวลชนมาใช้ในลักษณะประชาธิปไตยรวมศูนย์  (Democratic Centralism)  ด้วยการที่พรรคกรรมกรเกาหลีเหนือ  จะเป็นองค์กรสำคัญในการกำหนดนโยบายการพิจารณาและลงมติ  แล้วจึงนำมติของพรรคไปสู่ประชาชนเพื่อให้ยึดถือปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว  ทั้งนี้ภายใต้การชี้ชวนและส่งเสริมให้ประชาชนปฏิบัติตามกรอบกว้างๆ  ของมติพรรคที่วางไว้  ด้วยความกระตือรือร้นและกล้าวิพากษ์วิจารณ์  โดยอาศัยลักษณะผู้นำของคิมอิลซุงที่มีบารมีเป็นอำนาจ  เพื่อช่วยให้นโยบายของรัฐมีผลในทางปฏิบัติ  กระบวนการดังกล่าวจะช่วยให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  แทนที่จะเป็นเพียงการกำหนดนโยบายโดยพรรคและชี้นำให้ประชาชนปฏิบัติตามแต่เพียงฝ่ายเดียว
                ขณะเดียวกัน  เมื่อคิมอิลซุงต้องการขจัดคู่แข่งทางการเมืองภายในพรรค  ก็จะนำเอาทฤษฎีการใช้อำนาจเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ  มาใช้สร้างเงื่อนไขความขัดแย้งให้พัฒนาเป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้น  โดยอ้างว่าเพื่อขจัดศัตรูของการปฏิบัติ  พวกเจ้าที่ดิน  นายทุนนายหน้า  และพวกลัทธิแก้  วิธีการดังกล่าวทำให้ประธานาธิบดีคิมอิลซุงสามารถปกครองและรักษาอำนาจผูกขาดความเป็นผู้นำไว้ได้ตลอดมา  โดยมีแนวโน้มว่าจะผลักดันให้คิมจองอิล  (Kim Jong Il)  บุตรชายสืบตำแหน่งต่อไป  ขณะที่มีเสียงโจมตีว่าเป็นลักษณะการผูกขาดอำนาจอยู่เฉพาะในหมู่ชาติมิตรของผู้นำเอง
                (๒)  สถาบันทางการเมือง  ตามรัฐธรรมนูญฉบับ  ค.ศ. ๑๙๗๒  ของเกาหลีเหนือมีการแบ่งแยกอำนาจเป็นองค์กรสำคัญต่างๆ  ๔  ฝ่าย  ทั้งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมบงการของพรรคกรรมกรเกาหลีแต่เพียงพรรคเดียว  องค์กรทั้ง  ๔  ได้แก่
                        -  พรรคกรรมกรเกาหลี  เป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวตามอุดมการณ์คอมมิวนิสต์  ทำหน้าที่ควบคุมดูแลนโยบายหลักสำคัญสูงสุดของประเทศ  ซึ่งที่ประชุมพรรคจะทำการพิจารณาตัดสินนโยบาย  โดยคณะกรรมการเมืองของพรรคซึ่งประกอบด้วยผู้นำพรรคระดับสูงที่ได้รับเลือกจากคณะกรรมการกลางประชาชน  จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำในรายละเอียด ก่อนที่จะนำไปปฏิบัติต้องได้รับการอนุมัติจากสภาประชาชนสูงสุดก่อน  แล้วสภาบริหารหรือคณะรัฐมนตรีจึงจะนำนโยบายที่พรรคมอบหมายไปปฏิบัติ
                        -  สภาประชาชนสูงสุด  (Supreme People’s Assembly)  ทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติประกาศใช้หรือยกเลิกกฎหมายและปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศ  โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขสูงสุดของประเทศ
                        -  คณะกรรมการกลางประชาชน  (Central People’s Committee)  มีหน้าที่ควบคุมอำนาจและกำหนดนโยบายแห่งรัฐทั้งกิจการภายในและภายนอก  รวมทั้งด้านการป้องกันประเทศ  ด้านยุติธรรม  และความมั่นคงแห่งรัฐ  รวมทั้งมีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำประเทศต่างๆ  และแต่งตั้ง  โยกย้าย  ถอดถอนรัฐมนตรีอีกด้วย
                        -  สภาบริหาร  (Administrative Council)  หรือคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารงานในแต่ละกระทรวง  ทบวง  กรม  โดยอยู่ภายใต้การควบคุมแนะนำของประธานาธิบดีและคณะกรรมการกลางประชาชนอีกทีหนึ่ง
                สำหรับตำแหน่งประธานาธิบดีของเกาหลีเหนือ  เป็นทั้งหัวหน้าฝ่ายบริหาร  และประมุขของประเทศ  นอกจากนั้น  ยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะกรรมการกลางประชาชนและผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอีกด้วย  ซึ่งคิมอิลซุงดำรงตำแหน่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน
                สภาพทางเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือ
                การดำเนินการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือ  กระทำประสานสอดคล้องกับทางการเมือง  โดยอาจแบ่งออกเป็น  ๓  ระยะเช่นกัน  คือ
                        -  ระยะแรก  คือ  ตั้งแต่ระยะปลดแอกประเทศจนถึงระยะฟื้นฟูประเทศหลังสงครามเกาหลีสงบ  (ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๖)  โดยเว้นช่วงชะงักงันอันเนื่องมาจากสงคราม  ๔  ปี  (ค.ศ. ๑๙๕๐ - ๑๙๕๓)
                        -  ระยะที่สอง  คือ  ช่วงการปฏิวัติเศรษฐกิจให้เป็นแบบสังคมนิยมอุตสาหกรรมภายใต้โครงการเศรษฐกิจ  ๕  ปีแรก  (ค.ศ. ๑๙๕๗ - ๑๙๖๑)
                        -  ระยะที่สาม  คือ  ช่วงการเน้นการปฏิวัติทางเทคโนโลยี  (ค.ศ. ๑๙๖๑ - ๑๙๖๗)  ต่อมาได้ยึดเวลาของโครงการฉบับที่  ๒  ออกไปอีก  ๓  ปี  (ค.ศ. ๑๙๖๘ - ๑๙๖๙)  และได้ประกาศใช้โครงการเศรษฐกิจ  ๖  ปี  (ค.ศ.๑๙๗๑ - ๑๙๗๖)  และโครงการเศรษฐกิจ  ๗  ปี  (ค.ศ. ๑๙๗๘ - ๑๙๘๔)  ในปัจจุบัน
                โครงการปฏิรูปประชาธิปไตยประชาชน  ซึ่งประกาศใช้ในช่วง  ค.ศ. ๑๙๔๕ - ๑๙๔๘  ได้โอนกิจการทุกชนิด  ทั้งอุตสาหกรรม  พาณิชยกรรม  และเกษตรกรรมของชาวญี่ปุ่นและนายทุนนายหน้าชาวเกาหลีเข้าเป็นของรัฐ  ใน  ค.ศ. ๑๙๔๘  ธุรกิจทั้งหมดทั้งทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมในเกาหลีเหนือตกเป็นของรัฐถึงร้อยละ  ๙๐.๗  ทางภาคเกษตรกรรม  มีการประกาศใช้โครงการปฏิรูปที่ดิน  ใน  ค.ศ. ๑๙๔๖  รัฐบาลสามารถยึดและบังคับซื้อที่ดินของเอกชนได้ถึงร้อยละ  ๙๘.๑  ของที่ดินทำกินทั้งหมดในเกาหลีเหนือต่อมา  รัฐบาลได้จัดสรรที่ดินส่วนใหญ่ให้ชาวนาที่ไม่มีที่ดินทำกินและเจ้าของที่ดินขนาดเล็ก  ที่ดินส่วนที่รัฐบาลได้จัดสรรให้คณะกรรมการพรรคระดับมณฑลและอำเภอ  นำไปจัดสรรผลประโยชน์บำรุงกิจการของพรรคในระดับต่างๆ  รวมทั้งการพัฒนาแหล่งที่ดินเสื่อมโทรมให้เหมาะสมเป็นที่ทำกินของประชาชนในรูปนิคมสร้างตนเอง  หรือสหกรณ์การเกษตร  นอกจากนั้นรัฐบาลยังได้จัดหาอุปกรณ์การเพาะปลูกให้  โดยหักรายได้ของสมาชิกในแต่ละปีจากรายรับที่ได้จากผลผลิตทางการเกษตร
                คิมอิลซุงได้ตัดสินใจพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือตามแบบสหภาพโซเวียตที่สาธารณรัฐประชาชนจีนดำเนินรอยตามอยู่  ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาความเสียหายหลังสงคราม  โดยเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมหนักเป็นพื้นฐาน  ทั้งอุตสาหกรรมเหล็ก  เครื่องจักรกล  อู่ต่อเรือ  เหมืองแร่  ไฟฟ้า  เคมีภัณฑ์  ฯลฯ  ควบคู่กับการปฏิวัติเกษตรกรรมเป็นเป้าหมายรองสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นมิตรประเทศที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือเกาหลีเหนือตลอดมา  จนทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจฟื้นตัวและรุดหน้าอย่างรวดเร็ว  ตั้งแต่  ค.ศ. ๑๙๕๓  เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยเหลือสร้างปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ  เช่น  ทางหลวงแผ่นดิน  เขื่อนขนาดใหญ่  สนามบินและท่าเรือน้ำลึก  เป็นต้น  ประมาณกันว่าตั้งแต่  ค.ศ. ๑๙๔๙ - ๑๙๖๔ เกาหลีเหนือได้รับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตประมาณ  ๕๕๐  ล้านเหรียญดอลลาร์  หรือประมาณร้อยละ  ๔๐  ของความช่วยเหลือจากต่างประเทศทั้งหมด  และจากสาธารณรัฐประชาชนจีนประมาณ  ๔๑๗  ล้านเหรียญดอลลาร์  หรือประมาณร้อยละ  ๓๘  ของความช่วยเหลือจากต่างประเทศทั้งหมด
                สำหรับการปฏิวัติเกษตรกรรม  ซึ่งเป็นเศรษฐกิจสังคมชนบท  รัฐบาลเกาหลีเหนือใช้ระบบสหกรณ์การเกษตรรวม  ๓  แบบ  คือ
                -  สหกรณ์แบบพื้นฐาน  รัฐบาลช่วยเหลือในการจัดตั้งให้  โดยให้สมาชิกสหกรณ์แต่ละแห่งช่วยกันผลิตอาหารและเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน  โดยแยกทรัพย์สินกันในแต่ละครอบครัว  สมาชิกสหกรณ์จึงได้รับผลประโยชน์ไม่เท่ากัน  โดยมีสหกรณ์เป็นองค์การกลางในฐานะตัวแทนซื้อขายผลผลิตและบริการสินค้าจำเป็นแก่สมาชิก  รวมทั้งเป็นตัวแทนรับความช่วยเหลือและเผยแพร่นโยบายของรัฐบาลแก่สมาชิกด้วย
                -  สหกรณ์แบบกึ่งคอมมูน  สมาชิกสหกรณ์ทั้งหมดจะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตร่วมกัน ทั้งนี้โดยชาวนาเจ้าของที่ดินแต่ละครอบครัวจะนำอุปกรณ์การเกษตรและต้นทุนการผลิตทั้งหมดมาลงทุนร่วมกัน  สำหรับการแบ่งสันปันส่วนผลิตผลที่ได้จะเฉลี่ยตามปริมาณทรัพย์สินที่สมาชิกแต่ละคนถือเป็นทุนเข้าร่วมกับสหกรณ์  สมาชิกแต่ละคนจึงได้รับผลประโยชน์ไม่เท่ากันเช่นกัน
                -  สหกรณ์แบบสังคมนิยมสมบูรณ์  ถือเอาปริมาณของแรงงานที่แต่ละคนใช้ในการสร้างผลผลิตเป็นเครื่องแบ่งรายได้จากการผลิต  สมาชิกของสหกรณ์จะได้รับผลประโยชน์ไม่เท่ากันแต่ก็จะไม่แตกต่างกันมากนัก
                ผลจากการรณรงค์ผลักดันของรัฐบาลและพรรคกรรมกรเกาหลีให้ชาวนาตระหนักถึงคุณค่าของส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว  ตามโครงการที่ให้คนเกาหลีใช้แรงงานร่วมกันเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกในการสร้างสังคมที่เป็นธรรมขึ้น  ทำให้ชาวนาส่วนใหญ่ซึ่งนิยมเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์แบบพื้นฐานและแบบกึ่งคอมมูนในระยะแรก  หันมาเข้าเป็นสมาชิกแบบสังคมนิยมสมบูรณ์มากที่สุดถึงร้อยละ  ๙๗.๕  ของจำนวนสมาชิกสหกรณ์ทั้งหมดใน  ค.ศ. ๑๙๖๕  ความสำเร็จของระบบสหกรณ์การเกษตรของเกาหลีเหนือ  ทำให้สามารถขจัดปัญหาขาดแคลนอาหารบริโภคที่มีมาตั้งแต่  ค.ศ. ๑๙๕๓  ได้อย่างเด็ดขาด
                ใน  ค.ศ. ๑๙๕๗  อันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงประเทศจากสังคมกึ่งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม  ไปสู่สังคมนิยมอุตสาหกรรม  เกาหลีเหนือได้ประกาศใช้ โครงการม้าบิน  หรือ  จอลลิมา  (Chollima)  อันเป็นโครงการที่มุ่งรณรงค์มวลชนและระดมทรัพยากรในประเทศทั้งหมดเพื่อขยายการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมให้เป็นพื้นฐานรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก
                โครงการม้าบินของเกาหลีเหนือ  ใช้วิธีการเน้นความสำคัญของนโยบายมวลชนด้วยการสร้างคำขวัญ  และการปลุกระดมกระตุ้นประชาชนให้ร่วมมือกันเร่งขยายปริมาณการผลิตให้มีปริมาณและประสิทธิภาพสูง  ยุทธวิธีที่ใช้  คือ  พยายามกระจายอำนาจการตัดสินใจและวางแผนนโยบายเฉพาะด้าน  จากอำนาจบริหารของรัฐบาลกลางให้แก่หน่วยการปกครองท้องถิ่น  ซึ่งเป็นหน่วยผลิตและหน่วยปกครองพื้นฐานทั่วประเทศ  สร้างระบบผู้นำร่วมในโรงงานอุตสาหกรรมและสหกรณ์การเกษตรทุกแห่งโดยให้สมาชิกพรรคกรรมกรเกาหลีแต่ละหน่วยผลิตตั้งคณะกรรมการพรรคประจำ  เพื่อทำหน้าที่จัดการและบริหารงาน  ควบคู่ไปกับการย้ำแนวทางมวลชนอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง  เพื่อเร่งเร้าหน่วยผลิตทั่วประเทศให้เพิ่มพูนประสิทธิภาพการจัดการและการบริหารงานให้ดียิ่งขึ้น
                ผลของการรณรงค์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือตามโครงการม้าบินปรากฏว่าเกิดผลดีเกินคาด  ผลผลิตทางด้านอุตสาหกรรมทุกประเภทในช่วง  ค.ศ. ๑๙๕๗ - ๑๙๗๐  เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ  ๑๙.๑  ต่อปี
                สภาพทางสังคมของเกาหลีเหนือ
                ทางด้านสังคมของเกาหลีเหนือ  ได้มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงแก้ไขเช่นเดียวกัน  ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสังคมใหม่ภายใต้ระบอบสังคมนิยม  โครงการที่นำมาใช้  คือ  การปฏิวัติวัฒนธรรม  โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปลดแอกชนชั้นกรรมาชีพให้หลุดพ้นจากพันธนาการของสังคมเก่า  ด้วยการยกเลิกขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติแบบเดิม  และสร้างความเชื่อหรืออุดมการณ์ชีวิตแบบสังคมนิยมเข้าแทนที่เพื่อบรรลุตามนโยบายดังกล่าว  มี  ๒  ขั้นตอนสำคัญ  คือ
                ก.  ขจัดปัญหาการไม่รู้หนังสือของประชาชน  ควบคู่ไปกับการปฏิวัติวัฒนธรรมเพื่อสร้างวิถีชีวิตแบบใหม่ของมวลชนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการปฏิวัติทางการเมืองและเศรษฐกิจ
                ข.  เร่งรัดพัฒนาการศึกษาระดับสูง  โดยเน้นเรื่องความเชี่ยวชาญทางด้านอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมสมัยใหม่  ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ  ด้านการขจัดปัญหาการไม่รู้หนังสือของประชาชนใน  ค.ศ. ๑๙๕๐  รัฐบาลได้ประกาศโครงการศึกษาภาคบังคับทั่วประเทศ  โดยตั้งโรงเรียนกรรมกรชาวนา  และโรงเรียนระดับกลางตามโรงงานอุตสาหกรรมและสหกรณ์การเกษตรทุกแห่ง  สามารถขจัดปัญหาการไม่รู้หนังสือได้ภายใน  ๙  ปี  ขณะเดียวกันสามารถเผยแพร่อุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ได้ผลเป็นอย่างดี  นอกจากนั้น  รัฐบาลยังได้ก่อตั้งสถาบันขั้นอุดมศึกษา  ซึ่งก่อนหน้าที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์จะยึดครองยังไม่เคยมีมาก่อน  ปัจจุบันเกาหลีเหนือมีสถาบันอุดมศึกษากว่า  ๑๐๐  แห่ง  โรงเรียนเทคนิคชั้นสูงเกือบ  ๔๐๐  แห่ง
                ทางด้านสาธารณสุขและสวัสดิการสังคมต่างๆ  รัฐบาลได้เร่งระดมเพื่อให้สงผลถึงประชาชนกว้างขวางยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะในเขตชนบท  เป็นผลให้ประชาชนฐานะยากจนในชนบทมีฐานะดีขึ้น
                อย่างไรก็ดี  โดยทั่วไปแล้วนับได้ว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือ  ได้เข้าไปควบคุมบงการชีวิตทางสังคมของประชาชนมากทีเดียว  ประชาชนเกาหลีเหนือจะต้องใช้เวลาประมาณวันละถึง  ๑ ใน  ๓  ในการศึกษา  และในองค์กรมวลชนของรัฐ  การดำรงชีวิตประจำวันทั่วๆ  ไป  ก็ค่อนข้างจะอยู่ในกรอบที่รัฐบาลวางไว้ตามอุดมการณ์คอมมิวนิสต์  สิทธิเสรีภาพของประชาชนจึงต้องอยู่ในขอบเขตที่รัฐบาลกำหนดให้  เช่น  การกำหนดและจำกัดเขตเดินทาง  สื่อมวลชนเป็นของรัฐ  ความไม่มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา  เป็นต้น
  ปัญหาและอนาคตด้านการเมือง  เศรษฐกิจ  และสังคมเกาหลีเหนือ
                ปัญหาและอนาคตด้านการเมืองของเกาหลีเหนือ
                เกาหลีเหนือในอดีตและปัจจุบันภายใต้การนำของคิมอิลซุง  นับได้ว่าดำเนินไปค่อนข้างราบรื่น  ทั้งนี้ด้วยความสามารถในการใช้ยุทธวิธีทางการเมืองการทหาร  และความเป็นผู้นำที่มีบารมีของคิมอิลซุง  ในฐานะที่เป็นผู้สร้างชาติจนกระทั่งเกาหลีเหนือเป็นปึกแผ่นมั่นคงทำให้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ  ลุล่วงไปได้  อย่างไรก็ดี  ยังเป็นที่หวั่นเกรงกันโดยทั่วไปว่า  หากคิมอิลซุงถึงแก่อสัญกรรมอาจเกิดปัญหาวิกฤตการณ์ผู้นำขึ้นได้  แม้ว่าจะเชื่อกันว่าคิมอิลซุงคงจะสามารถใช้ยุทธิวิธีแนวทางมวลชนและแนวทางชนชั้นขจัดศัตรูคู่แข่งขันทางการเมืองของตนได้เช่นที่เป็นมาในอดีต  และแม้จะมีแนวโน้มว่าคิมอิลซุงได้พยายามสร้างคิมจองอิล  บุตรชายคนโตของตนให้เป็นทายาททางการเมืองก็ตาม  แต่เนื่องจากปัจจุบันเกาหลีเหนือกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ  อันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศโดยเฉพาะจากวิกฤตการณ์น้ำมัน  จึงอาจเป็นปัจจัยก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นในอนาคตได้  อันเป็นผลเนื่องมาจากการขัดแย้งในอำนาจ  และแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
                หากคิมจองอิล  ซึ่งเป็นบุตรชายที่คิมอิลซุงคาดหวังจะให้เป็นทายาททางการเมืองของตน  เป็นที่ยอมรับในความสามารถ  ปัญหาก็อาจหมดไปหรือเบาบางลง  แต่หากไม่เป็นที่ยอมรับและคู่แข่งทางการเมืองของคิมอิลซุงสามารถรวมตัวกันได้ย่อมเกิดปัญหาขึ้น  ทั้งนี้โดยการโจมตีว่ามีลักษณะผูกขาดอำนาจทางการเมืองอยู่เฉพาะในหมู่ญาติมิตรของตนเท่านั้น  อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญน่าจะไม่ใช่เพียงเรื่องอำนาจทางการเมืองการทหารเท่านั้น  ประเด็นทางเศรษฐกิจก็น่าจะเป็นปัจจัยชี้ขาดอีกประการหนึ่งด้วย  กล่าวคือ  เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือในปัจจุบัน  และแนวโน้มในอนาคตที่กำลังประสบปัญหาอยู่ไม่น้อยจะกลายเป็นปัจจัยตัดสินที่สำคัญซึ่งชี้ให้เห็นความถูกต้องหรือผิดพลาดของนโยบายการบริหารประเทศภายใต้การนำของคิมอิลซุงว่า  สมควรจะต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีให้สอดคล้องตามสถานการณ์หรือไม่เพียงใด  ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงการมีผลต่อการเปลี่ยนตัวผู้นำคนต่อไปของเกาหลีเหนือด้วย
                

เปรียบเทียบผู้หญิงเกาหลีเหนือกับผู้หญิงเกาหลีใต้


                           ผู้หญิงเกาหลีเหนือ

                                                    หญิงเกาหลีใต้ 
















                                        (แล้วท่านชอบแบบไหน??)





ขอบคุณข้อมูลจาก
http://th.wikipedia.org/wiki ลัทธิจักรวรรดินิยมในเอเชีย

4 ความคิดเห็น :